ความเป็นมาญี่ปุ่น ทำความรู้จักกับดินแดนอาทิตย์อุทัยให้มากขึ้น มาดูกันว่าจะน่าสนใจแค่ไหน?
ความเป็นมาญี่ปุ่น เราจะมาทำความรู้จักกับ ประเทศที่อยู่ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออก อย่างญี่ปุ่นกันหลายๆคนมักจะรู้จักญี่ปุ่นกัน ในนามว่า เป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยว มีธรรมชาติที่สวยงาม และแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกทุกๆคน ก็ต้องรู้จักประเทศญี่ปุ่นกันทั้งนั้น แต่ในวันนี้เราจะมาบอกเล่า เรื่องราวความเป็นมาและ ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ให้ทุกๆท่านได้รู้
โดยประเทศญี่ปุ่นนั้น มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 61 ของโลกอีกทั้งเป็นประเทศที่มีเกาะรอบล้อม ทั้งเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ เกาะที่ว่านี้ก็จะเป็นภูเขาไฟ และแน่นอนว่าภูเขาไฟ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ก็คือภูเขาไฟฟูจิ
การสันนิษฐานว่า ในอดีตนั้นในช่วงประมาณยุคโบราณราวๆ 35,000 ปี ผู้คนในแถบนี้ ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ และมีการผลิตภาชนะใส่อาหาร นั่นก็คือเครื่องปั้นดินเผา และมีการถือกำเนิดลายเอกลักษณ์ ในถ้วยชามเครื่องปั้นดินเผานี้ว่า ลายโจมง
สำหรับภาษาญี่ปุ่นนั้น แปลว่าลายเชือก ซึ่งลายดังกล่าวถูกค้นพบ ในช่วงยุคหินนั่นเอง ต้องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงแหล่งที่มาที่ไปของ ชาวญี่ปุ่น ในช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่นว่า ในอดีตมีการเรียกชาวญี่ปุ่นว่า “วะ” ซึ่งนับว่าเป็นการถือกำเนิดที่มาของชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ความเป็นมาญี่ปุ่น หลายคนคงอยากจะรู้ ว่าที่มาของชื่อประเทศญี่ปุ่น มีความเป็นมาอย่างไร?
ใครรู้บ้างว่า ที่มาชื่อของประเทศญี่ปุ่น นั้นถูกเรียกว่าอย่างไร และมีที่มาของชื่อจากคำไหน เราเอาล่ะเราจะมาดูกันว่า ในภาษาญี่ปุ่น มีชื่อเรียกของประเทศว่า และที่มาของชื่อมีความหมายว่าอย่างไร เริ่มจ้นกันที่ สำหรับในภาษาญี่ปุ่นนั้น จะเรียกกันว่า Nippon
ใช้พูดเป็นภาษาทางการ ส่วนคำว่า นิฮง เอาไว้ใช้ในการพูดแบบทั่วไป ที่ไม่ได้เป็นทางการนัก ซึ่งชื่อทั้งสองนี้ มีการเริ่มใช้มาตั้งแต่ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ไปจนถึงพุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงกลางของศตวรรษ โดยจะใช้อักษรคันจิซึ่งแปลเป็นความหมายออกมาว่า
“ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์” ทำให้ถูกกล่าวขานว่าญี่ปุ่นคือ ดินแดนอาทิตย์อุทัย เพราะประเทศญี่ปุ่น มีทั้งเกาะและภูเขาไฟ ลักษณะสลับชั้นกัน อยู่เป็นจำนวนมาก และในช่วงที่ญี่ปุ่น เริ่มที่จะมีการติดต่อ กับราชวงศ์สุยของจีน ก็เริ่มที่จะมีชื่อเรียกต่างๆออกไป
ไม่ว่าจะเป็น “ยามาโตะ” ซึ่งในภาษาจีนแปลว่า สันติภาพอันยิ่งใหญ่ ส่วนชื่ออื่นๆที่เราและทั่วโลก จะรู้จักกันนั่นก็คือชื่อของ Japan ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกกัน ในภาษาอังกฤษ ส่วนประเทศไทยบ้านเรานั้น พ้องเสียงคำว่าญี่ปุ่น มาจากอิทธิพลในภาษาจีนกลาง เพี้ยนจากคำว่า ญื่อเปิ่น นี่จึงเป็นที่มา ของชื่อประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
ความเป็นมาญี่ปุ่น เอกลักษณ์ของญี่ปุ่นอย่างอาหาร ได้รับอิทธิพลมาจากที่ไหน?
ว่ากันด้วยเรื่องของ อาหารญี่ปุ่น นับว่าเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้คนนึกถึงประเทศนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ว่า มีรสชาติอร่อย ทั้งยังมีกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติที่ดั้งเดิม ปรุงรสน้อย เน้นรสธรรมชาติของวัตถุดิบ นี่จึงเป็น และอาหารแต่ละชนิด จะรับประทานได้
ตามฤดูกาลเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ ถือได้ว่าเป็น เสน่ห์ที่หลายๆคนชื่นชอบ แล้วที่มาของวัฒนธรรม อาหารเหล่านี้ล่ะ มันมาจากที่ไหน และมีความเป็นมาอย่างไร ต้องบอกเลยว่าญี่ปุ่น ได้รับอิทธิพลในเรื่องของอาหาร มาจากแถบประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งจากจีน และเกาหลี
มาร่วมนับพันปีมาแล้ว ทั้งการปลูกข้าว ที่ได้เรียนรู้มาจากเกาหลี แต่ก็ได้นำเอามาคิดค้น นำเอามาทำเป็น เส้นอูด้ง และได้รู้จักกับโชยุ มาตั้งแต่ที่สมัยมีการ แลกเปลี่ยนเอาวัฒนธรรมด้านศาสนา กับพี่น้องชาวจีนมาตั้งแต่ 300 กว่าปีมาแล้ว ด้วยความที่ว่า
คนญี่ปุ่นมีความ พิถีพิถัน ในเรื่องของการทำอาหาร อาหารแต่ละชนิด ใช้วิธีการทำ ขั้นตอนในการปรุงที่ ค่อนข้างลึกซึ้ง อย่างการชงชา ชาญี่ปุ่นเป็นของขึ้นชื่ออย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชามัจฉะ หรือชาเขียว ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งวิธีการชงชาแบบญี่ปุน
เป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน และจะต้องใจเย็น เพราะค่อนข้างที่จะ มีผลกับรสชาติเป็นอย่างมาก อาหารหลักของชาวญี่ปุ่นแน่นอนเลยว่า จะต้องมีปลา เข้ามาเป็นส่วนประกอบหลัก ที่ตามมาก็คือ ซุปมิโสะ ทานกับข้าว โดยเครื่องเคียงของอาหารญี่ปุ่น
ก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด โดยจะเน้นในเรื่องของ การกินแล้วสบายท้อง และรู้สึกสอาดปาก
จะเป็นเช่นไรเมื่อญี่ปุ่นอยู่ในยุคที่เริ่มมีอารยธรรมเข้ามา
สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น ทุกๆท่านคงจะพอได้ยินมาว่า อารยธรรมของญี่ปุ่น ถูกแบ่งออกเป็นยุค ก็เริ่มมาตั้งแต่ ยุคโคะฟุง โดยยุคดังกล่าว ถูกต้งชื่อขึ้นมา ตามชื่อของสุสาน เริ่มมีอิทธิพลตั้งแต่ในช่วง ศตวรรษที่ 9-12 ซึ่งในช่วงนั้น ญี่ปุ่นเริ่มที่จะมีการปกครอง
ให้อยู่ในระบบราชวงศ์ และศูนย์การการปกครองคือแถบคันไซ เป็นช่วงที่เกิดความเฟื่องฟูในพุทธศาสนา เนื่องจากว่า ได้รับอิทธิพล มาจากทั้งเกาหลี และจีน จนกระทั่งพุทธศาสนา ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมาตั้แต่นั้น มาถึงยุคนะระ คือยุคที่อยู่ในช่วงปี
พุทธศักราช 1253-1337 ยุคนี้ค่อนข้างที่จะ มีการก่อตัวเป็น อาณาจักรที่เข้มแข็ง มีรูปแบบการปกครองที่ได้รับอิทธิพล มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ จนกระทั่งมาถึง ยุคเฮอัง ต้องบอกเลยว่านี่คือ ยุคทองของญี่ปุ่น เลยก็ว่าได้ เพราะตั่งแต่ช่วงปี พ.ศ. 1337-1728
ญี่ปุ่นได้มีการ พัฒนาในเรื่อของ วัฒนธรรมให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การประดิษฐ์ตัวอักษร นำไปสู่การเขียนนวนิยายชื่อดังเรื่อง นิทานเก็นจิ โดยนิทานเรื่องดังกล่าว ถือว่าเป็นการเขียนเรื่องราว เกี่ยวกับการใช้ชีวิต ในขณะที่ญราปุ่น อยู่ในระบบการปกครองของ
ตระกูลฟุจิวะระ ซึ่งนิทานเรื่องนี้ เป็นบทกลอนนำมาซึ่ง การเขียนเนื้อร้อง ในเพลงชาติญี่ปุ่นนั่นเอง ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ญี่ปุ่น เริ่มที่จะมีการนำเอาหลายๆสิ่ง จากประเทศรอบข้าง เข้ามาปรับใช้
ญี่ปุ่นในอดีตกับญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ในอดีตนั้น ทุกๆคนดูกันอยู่แล้วว่าญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ทำสงครามบ่อย จนมาถึงยุคที่เรียกว่า เป็นช่วงพีคของประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือยุคปลายโชวะ คาบเกี่ยวตอนต้น ของยุคเฮเซ ก็คือตั้งแต่ปี 1986 ถึงปี 1991 เอาญี่ปุ่นในช่วงนั้น เรียกได้ว่าเป็นยุคฟองสบู่ ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
เนื่องจากว่าญี่ปุ่นแพ้สงคราม แต่ก็ได้พยายาม ไต่เต้าจนกลายมาเป็น ประเทศที่เศรษฐกิจ ดีเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ โอนในช่วงนั้นใช้เงินกันได้อย่างเฟื่องฟู เป็นยุคของความสนุก ทุกคนมีเงินใช้ สามารถที่จะจับจ่ายใช้สอย ทุกอย่างได้อย่างสบายใจ
เพราะว่าค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นมาก จัดได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรือง และเป็นยุคที่อู้ฟู่อย่างยิ่งของญี่ปุ่น นั่นก็ให้ทั้งคุณและโทษเพราะ ประเทศยักษ์ใหญ่หลายประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งอเมริกา มองว่าประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นภัยคุกคามที่ค่อนข้างน่ากลัว เพราะเป็นมหาอำนาจประเทศใหม่
ที่รุ่งเรืองจนฉุดไม่อยู่ ทำให้วัฒนธรรมญี่ปุ่ นได้แพร่กระจายออกไป เต็มทุกพื้นที่สื่อ นายทุนต่างๆก็เข้ามาร่วมลงทุน ในการทำกิจการรถยนต์ สนามแข่งรถ และในแง่ของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้กลายเป็น ความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าทุกอย่าง
จะดูเหมือนกำลังไปได้ดี แต่จนกระทั่งในปี 1991 เศรษฐกิจของญี่ปุ่น ก็กลายเป็นว่าอยู่ใน ช่วงของฟองสบู่แตก แต่สิ่งที่ยังคงอยู่นั่นก็คือ วัฒนธรรมญี่ปุ่น การแต่งกาย ภาษา อาหารการกิน สิ่งเหล่านี้คืออัตลักษณ์ และเปรียบเสมือนหน้าตาของญี่ปุ่นก็ว่าได้