ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส เรื่องราวความเป็นมาของประเทศที่ก่อเกิดขึ้นเมื่อ 1500 ปีที่แล้ว
ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส เป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่ได้รับความนิยม จากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ในแต่ละปี ประเทศฝรั่งเศส มีความเป็นมา เริ่มต้นตั้งแต่ในช่วง ศตวรรษที่ 5 หรือประมาณ 1,500 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งประเทศฝรั่งเศส ได้ก่อตัวจากชนเผ่าพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ ในช่วงยุโรปตอนกลาง ซึ่งมันก็คล้ายๆกับ หลายๆประเทศ ที่ได้รวมตัวและก่อตั้งเป็นชนเผ่า ในพื้นที่นั้นๆ
และสืบสานประเพณี วัฒนธรรมต่างๆยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเราจะเขียนถึง ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ก็คงจะแยกได้ เป็นช่วงดังนี้ ช่วงแรกคือ ช่วงรวมตัวก่อตั้ง ของชนเผ่ากอล ช่วงที่2 คือช่วงที่ถูกอาณาจักรโรมันเข้าครอบครอง และปลดแอก โดยชนเผ่าแฟรงค์
ช่วงที่3 นั่นก็คือช่วงที่เป็นยุคกลาง หรือช่วงที่ราชวงศ์แก่งแย่ง และทำสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจ ช่วงที่4 คือช่วงที่ฝรั่งเศสเริ่มก่อตัว เป็นชาติอย่างแท้จริง และได้เริ่มมีความเจริญรุ่งเรือง ทางด้านของศิลปะวิทยา
ช่วงที่5 เป็นช่วงที่ ประเทศฝรั่งเศส เฟื่องฟูในระบอบปกครองราชาธิปไตย หรือ ปกครองโดยระบบกษัตริย์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ ราชวงศ์เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก และก็ได้ก่อเกิดศิลปะวิทยา แขนงต่างๆ ซึ่งต่อเนื่องมาจาก ในช่วงหลังสงครามศาสนา
ช่วงที่6 เป็นช่วงที่ระบอบกษัตริย์ของฝรั่งเศส เริ่มเสื่อมถอยลงจนเกิด การปฏิวัติฝรั่งเศส และล้มล้างระบอบกษัตริย์ เนื้อหาของ ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ยังมีอีกมาก ก่อนที่จะเป็น ประเทศฝรั่งเศส ในปัจจุบันนี้ แต่ในบทความนี้ เราจะเขียนถึงในช่วงต่างๆของ 6 ช่วงที่เรานำเสนอไป ส่วนที่เหลือ เราจะมาต่อกันในบทความหน้า
ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ก่อนที่จะมาเป็น ประเทศฝรั่งเศส ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลง อย่างไรมาบ้าง?
เรื่องราวประวัติศาสตร์และ ความเป็นมาของฝรั่งเศส ในช่วงเริ่มต้น จากการรวมตัวของชนเผ่า กินระยะเวลาที่ ค่อนข้างยาวนาน ถึงเกือบ 300 ปี ในส่วนเนื้อหาตรงนี้ เราจะเกริ่นแค่คร่าวๆ เพราะเรามีประเด็นหลัก ที่น่าสนใจที่อยู่ในช่วง เปลี่ยนแปลงฝรั่งเศสอื่นๆอีก
หลังจากการรวมตัว ของชนเผ่าและตั้งเป็นอาณาจักรขึ้นมา จูเลียส ซีซาร์ ก็ได้มาพิชิต และทำให้ ฝรั่งเศสในยุคโบราณ กลายเป็นเมืองขึ้น ของโรมันไปโดยปริยาย หลังจากผ่านไป 200 กว่าปี อาณาจักรโรมัน ก็ได้ล่มสลาย ทำให้โคลวิช ผู้นำแห่ง อาณาจักรแฟรงค์ ได้เข้ามารุกรานและยึดครอง แล้วก็ตั้งต้นเป็นผู้นำ ของอาณาจักร ฝรั่งเศสในยุคโบราณ
จากนั้นก็ได้เข้าร่วม กับศาสนจักร เพื่อที่จะมีอำนาจ การปกครองอย่างแท้จริง ในยุคนั้น ซึ่งหลังจากที่ อาณาจักรแฟรงค์ ได้ล่าอาณานิคม จากหัวเมืองต่างๆ และรวบรวม เข้ากับอาณาจักรของตนทำให้ ฝรั่งเศสในยุคโบราณ กลายเป็นอาณาจักร ที่แผ่ขยายอำนาจออกไป
แต่สุดท้ายอำนาจ ก็เป็นสิ่งที่หอมหวานยั่วยวน จึงทำให้ภายใน ราชวงศ์แฟรงค์ ก็ได้มีการลุกขึ้นมา ต่อสู้และแย่งชิงอำนาจกัน จนสุดท้ายก็ถูกแบ่งเป็น แฟรงค์ตะวันตก และ แฟรงค์ตะวันออก นี่คือเรื่องราวโดยย่อ ของยุคตั้งต้น ของฝรั่งเศส
นอกเหนือจาก ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ที่เว็บไซต์ของเรา ก็ยังมีเรื่องราว ประวัติศาสตร์ ของประเทศต่างๆ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ของหลายๆประเทศอยู่ด้วย ถ้าใครสนใจ สามารถไปหาอ่านเพิ่มเติม ที่เว็บไซต์ของเราได้
หลังจากช่วงยุคกลาง ได้มีสงครามการแย่งอำนาจ ของ2ราชวงศ์ จนก่อเกิดเป็น สงครามร้อยปี
นี่เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของ ฝรั่งเศสในยุคโบราณ ที่พลิกโฉมหน้า การปกครองของฝรั่งเศส ในสมัยนั้น นั่นก็คือ สงครามร้อยปี ที่มาของสงครามนี้คือ การแก่งแย่งอำนาจ การปกครองของฝรั่งเศส ในตอนนั้น เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 ทรงสิ้นพระชนม์
พระเจ้าฟิลิปที่ 6 แห่ง ราชวงศ์แวลัวส์ ก็ได้สืบราชบัลลังก์ต่อ แต่สืบเนื่องจาก พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่ง ราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ไม่ยอมที่จะถวายบังคมให้ จึงเกิดเป็นเหตุสงคราม ของความกระด้างกระเดื่อง แห่งสองราชวงศ์ และก็ได้รบพุ่งกันต่อมา
สิ่งที่ทำให้ราชวงศ์ทางฝั่งฝรั่งเศส และ ราชวงศ์ทางฝั่งอังกฤษ ขุ่นข้องหมองใจ ในจุดต่อมาก็คือ การแย่งชิงอำนาจการปกครอง ซึ่งโดยที่จริงแล้ว ในยุคก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นช่วงยุคกลาง ของฝรั่งเศส การส่งพระราชนัดดา ให้ไปแต่งงาน กับประเทศคู่พันธมิตร เป็นที่นิยมกัน
ฉะนั้นจึงทำให้ ราชวงศ์ในองค์ต่อมา ก็มีเชื้อสายของราชวงศ์ ทางฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน ฉะนั้น จึงมีการอ้างสิทธิ์ การปกครองทุกครั้ง ที่มีการสวรรคต ของพระเจ้าองค์ใด สงครามแบ่งแยกอำนาจครั้งนี้ จึงยืดเยื้อยาวนาน นับร้อยปี
และยังถือกำเนิด นักบุญหญิงองค์แรกจาก สงครามร้อยปี นี้อีกด้วย นั่นก็คือ Joan of arc วีรสตรีหญิง ที่นำทัพเข้าต่อสู้ เคียงข้างกับ ราชวงศ์ฝรั่งเศส อย่างอาจหาญ เยี่ยงชายชาตรี
การปฏิวัติฝรั่งเศส สงครามกลางเมือง ที่เปลี่ยนโฉมหน้าฝรั่งเศส ไปตลอดกาล และยังเป็นรากฐานมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่จบ สงครามร้อยปี ราชวงศ์ฝรั่งเศส หรือเดิมทีคือ ราชวงศ์แวลัวส์ ก็ได้ปกครองฝรั่งเศสมายาวนาน จนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ ราชวงศ์บูร์บง ซึ่งได้ทำการ ปกครองฝรั่งเศส ยาวนานถึง 200 ปี นับตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1593 จนถึงคริสตศักราชที่ 1793 ซึ่งในช่วงท้ายๆ
หลังจากที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงสวรรคต พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ได้ขึ้นครองราชย์ ท่ามกลางวิกฤต ทางการเงินและการคลัง ของฝรั่งเศสในตอนนั้น เนื่องจาก 200 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ประเทศฝรั่งเศส รุ่งเรืองทั้งอำนาจทางทหา รและศิลปะวัฒนธรรม แต่งานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกรา
หลายๆอย่างก็ได้เปลี่ยนไป เพราะความไม่พอเพียง ของคนในราชวงศ์ยุคก่อน ที่เริ่มทำสงคราม ปกป้องดินแดนและสิทธิ จึงทำให้ใช้เงินกองคลัง ไปกับสงครามและความฟุ่มเฟือย ของเหล่าขุนนาง และราชวงศ์ ซึ่งภายในก็มีการโกงกินกันเกิดขึ้นด้วย จนมาถึงในยุคครองราชย์ของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ถึงขั้นวิกฤตที่สุดแล้ว
แม้จะแต่งตั้ง ขุนคลังที่เก่งกาจสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหา เหล่านี้ได้ เพราะยังมีกลุ่มคน ที่มีอำนาจยุคเก่า หรือ กลุ่มสภาอำมาตย์ ที่ถูกเรียกขานกันว่า ปาร์เลอมง ซึ่งมีอำนาจ แผ่ขยายไปทั่วทั้ง ประเทศฝรั่งเศส จึงทำให้การแก้ปัญหา นั้นเป็นไปได้ยาก จนสุดท้ายก็ได้เกิดเป็น สงครามกลางเมือง ขึ้นในที่สุด
ฟางเส้นสุดท้าย ที่เป็นชนวนเหตุแห่งความรุนแรง และ การปฏิวัติฝรั่งเศส นำมาสู่การสิ้นสุดการปกครองแบบราชาธิปไตย
หลังจากสถานการณ์ทางการคลังของ ประเทศฝรั่งเศส ย่ำแย่ลง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทำการเรียกประชุม สภาฐานันดร ซึ่งการประชุมในรูปแบบนี้ จะประกอบไปด้วย ชนชั้น 3 ส่วน นั่นก็คือ นักบวช ขุนนาง และชนชั้นไพร่ การประชุมฐานันดร ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 150 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งยาวนานมาก
กว่าจะมีการประชุมฐานันดร ครั้งนี้ เพราะปกติในยุคเก่า เหล่าขุนนาง จะไม่ยุ่งกับชนชั้นไพร่ หรือประชาชนธรรมดาอยู่แล้ว ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ ว่าด้วยเรื่องของ วิกฤตทางการคลัง ที่เป็นปัญหา อันยาวนาน และยังไม่สามารถแก้ไขได้
เนื่องจากทาง ฝั่งราชวงศ์ อยากจะมีการขึ้นภาษีอีก เพื่อเก็บเงินเข้าท้องพระคลัง แต่ด้วยภาษีปกติ ที่ประชาชนชาวฝรั่งเศส จำใจต้องจ่าย นั้นก็สูงมากอยู่แล้ว อีกทั้งยังชนชั้นนักบวชและขุนนาง ก็ยังถูกยกเว้นภาษีด้วย แต่ประเด็นสำคัญ ที่เป็นฟางเส้นสุดท้าย
ก็คือเรื่องของการลงคะแนนเสียง เพราะมติของการลงคะแนนเสียงนั้น จะมีได้แค่ 3 เสียง นั่นก็คือ ตัวแทนแต่ละชนชั้น จะต้องส่งตัวแทนมาแค่ 1 คน เพื่อลงคะแนนเสียงเท่านั้น นั่นจึงทำให้ประชาชนทั่วไป เกิดความรู้สึก ไม่เป็นธรรมอย่างมาก
เพราะชนชั้นไพร่ มีจำนวนมากกว่า ชนชั้นนักบวชและขุนนาง รวมกันซะอีก จึงทำให้ผู้นำของชนชั้นไพร่ ถอนตัวออกจาก การประชุมฐานันดร และรวมตัวกันที่ห้องโถง ของพระราวังแวร์ซายน์ และจัดตั้งเป็น สมัชชาแห่งชาติขึ้นมา จนสุดท้าย ก็เกิดเป็นชนวนเหตุแห่ง สงครามการปฏิวัติ ไปในที่สุด