โลกยุคกลาง กับสิ่งมหัศจรรย์ของ ที่มีเสน่ห์อารยธรรมโบราณนั้นเป็นยังไง ?
โลกยุคกลาง เรื่องราวที่ไม่ได้จางหาย ไปกับกาลเวลา สำหรับโลกยุคกลางนั้น เป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระยะเวลา ช่วงคริสตศตวรรษที่ 5–16 ซึ่งเป็นช่วงที่ล่มสลายของยุคโรมัน ก่อนจะนำไปสู่การเริ่มต้น ของยุคสมัยใหม่ กับเรื่องราว ของสถาปัตยกรรมที่มีอยู่ ของแต่ละประเทศที่ปัจจุบัน ยังกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ให้หลากหลายคน ได้รู้สึกตื่นตา ตื่นใจเมื่อได้พบเห็นอีกด้วย ซึ่งช่วงสมัยของโลยุคโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณ
ทางด้านของสถาปัตยกรรมต่างๆ ได้พังทลายไปเสียหมดแล้ว โดยส่วนใหญ่ ส่วนสถาปัตยกรรม ของโลกยุคกลาง ยังคงอยู่ และมีหลายสถานที่ ที่ยังคงสมบูรณ์อีกด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่สามารถพบเห็นได้นั้น ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะหรืออารยธรรม ที่ยังคงมีหลงเหลืออยู่นั้น เรียกได้ว่า
โลกยุคสมัยใหม่นั้น มีการเดินทางไปมาหากัน ได้สะดวกมากขึ้น จึงทำให้เรื่องของ การบูรณะซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ของสถาปัตยกรรมนั้น สามารถทำได้ดีขึ้นเท่านั้นซึ่ง สถาปัตยกรรมของโลกยุคกลาง ที่ยังคงมีอยู่ให้เห็น และจากหลากหลายพื้นที่นั้น ยังคงมีสภาพที่เรียกได้ว่า ดีอยู่เป็นเพราะ
มีการซ่อมแซมพร้อมกับการบูรณะกันอยู่เรื่อยๆ จึงทำให้สถานที่ หรือสถาปัตยกรรม ของโลกยุคกลางนั้น กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนกลายเป็น หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย นับได้ว่าเป็นอีกเรื่องราว ที่มีการบอกเล่า ถึงอดีตเพื่อให้ โลกในยุคปัจจุบันได้รับรู้นั่นเอง
โคลอสเซียม (Colosseum) หรือ ทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (Flavian Amphitheatre)
อัฒจันทร์ในประเทศอิตาลี ที่ถูกสร้างเป็นรูปทรงวงรี และปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เนื่องจากเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ จากโลกยุคกลาง ด้วยเป็นรูปแบบการก่อสร้าง ที่ยังสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่เคยหลงเหลืออยู่ สถานที่แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ เป็นสถานที่แข่งขัน และยังเป็นที่ใช้ในการต่อสู้ เพื่อประลองฝีมือ ของเหล่าอัศวิน และนักรบแกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ในโลกยุคกลางนั่นเอง ยุคกลาง ยุคมืด สรุป
โดยการสร้างอัฒจันทร์นี้ขึ้นมา เพื่อให้สามารถ ชมเกมการแข่งขันได้ ด้วยความรู้สึกที่ ผู้เข้าชมจะได้ใกล้ชิด กับตัวนักกีฬา สำหรับการก่อสร้าง และออกแบบนั้น มีการออกแบบเพื่อให้สามารถ ขังสิงโตไว้ได้ ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดิน ที่จะสามารถป้องกันน้ำท่วม และยังสามารถปล่อยให้นักโทษ ได้ออกมาต่อสู้ในสนามได้อีกด้วย สำหรับลักษณะการออกแบบนั้น สร้างด้วยอิฐ และหินทราย สามารถจุคนที่เข้ามาชม อารยธรรม โลกยุคกลาง
ในสนามได้สูงถึง 50,000คน ด้วยตัวอัฒจันทร์นั้น หากวัดโดยรอบแล้วได้ประมาณ 527เมตร และมีความสูงถึง 57เมตร และต่อมาสนามกีฬาในหลายประเทศ ได้ทำการสร้างอัฒจันทร์หรือโคลอสเซียม เพื่อเป็นสนามกีฬากลางแจ้ง ที่มีการนำเอา สถาปัตยกรรมโลกยุคกลางนี้
ไปใช้เป็นต้นแบบ เพื่อทำการสร้างสรรค์งานศิลปะ ในปัจจุบันเกี่ยวกับ สนามกีฬากลางแจ้ง ที่มีขนาดมหึมา โดยมีต้นแบบมาจาก อัฒจันทร์ที่ตั้งตระหง่าน อยู่กลางกรุงโรม ของประเทศอิตาลีนั่นเอง นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมความบันเทิง ของชาวโลกยุคกลาง หรือของชาวอาณาจักรโรม หรือโรมันอีกด้วย
โลกยุคกลาง หลุมฝังศพแห่งอเล็กซานเดรีย (The Catacombs of Kom el Shoqafa)
สถานที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์ ในเมืองอเล็กซานเดรีย ของประเทศอียิปต์ เป็นสุสานที่ไม่ใช่พีระมิด อยู่ในภูเขา ที่เป็นหินทราย และอยู่ในชั้นใต้ดิน ที่ลึกถึง 70-80ฟุตเลยทีเดียว สุสานแห่งนี้มี ชั้นที่1 เตรียมการปลงศพ ชั้นที่2 ที่เก็บรักษาศพ และชั้นที่3 เป็นที่ทำพิธีระลึกถึงผู้ตาย
อีกทั้งภายในสุสานนี้ มีช่องทางเดินเขาวงกต ที่เรียกได้ว่าเป็นทางเดินหลายไมล์ ที่มีความกว้างเพียง 3-4ฟุต เท่านั้นที่เป็นทางเดิน และยังวกวน เดินเหมือนเขาวงกตทีเดียว โดยผนังอุโมงค์นั้น คือที่บรรจุพระศพ ซึ่งจะมีแท่นบูชา และตะเกียง โดยผนังอุโมงค์ ที่เจาะเป็นช่องนั้น
จะมองเห็นได้ มีการตกแต่งสุสาน ไว้อย่างงดงาม ซึ่งปัจจุบันนั้นถือได้ว่า เป็นอีกสุสานที่มีสภาพที่สมบูรณื มากที่สุดของประเทศอียิปต์ และไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่า ถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ โดยมีการประเมิณ เรื่องของวิวัฒนาการแล้ว สรุปว่าน่าจะเป็น ช่วงโลกยุคกลาง คริสตศตวรรษที่2 เท่านั้น
สิ่งปลูกสร้างสมัยยุคกลาวของจีน กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China)
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่มีอยู่ในประเทศจีน และเป็นที่รู้จักกันดีนั้นคือ กำแพงเทืองจีน ที่เป็นที่รู้จักกันดั และเป็นเหมือนสัญลักษณ์ ของประเทศจีนอีกด้วย นับได้ว่าเป็นสถานที่ ที่เป็นศิลปะและวั?นธรรม ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในช่วงของโลกยุคกลาง โดยอาจจะได้เห็นถึง ในภาพยนตร์ หรือภาพถ่าย อีกทั้งนวนิยายที่เกิดขึ้น หลากหลายให้เกินกว่าจินตนาการอีกด้วย สำหรับกำแพงเมืองจีนนี้ มีการคาดเดาว่า
ถูกสร้างขึ้น ในช่วงโลกยุคกลาง สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยการสร้างขึ้นมานี้ เพื่อใช้สำหรับ การป้องกันการรุกราน จากชนกลุ่มเหนือของประเทศ โดยถูกสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.338 และทำต่อเนื่องมาอีกหลายยุค หลายสมัยของจักรรดิชาวจีน และกำแพงเมืองขั้น มีความกว้างถึงขนาดที่ว่า
ม้าสามารถยืนเรียงได้ถึง 8ตัวทีเดียว เป็นกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐ โดยกำแพงมีความสูงมากกว่า 8-10เมตรทีเดียว อีกทั้งยังมีป้อม ที่ทหารจะเอาไว้แจ้งข่าว เรื่องศัตรูทุก 200เมตรอีกด้วย นับได้ว่า มีหอสังเกตุการณ์มากที่สุด และยังเป็นกำแพงเมือง ที่ยาวที่สุดอีกด้วย ยุคกลางสิ้นสุดลงเมื่อใด
โลกยุคกลาง สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) และ ฮาเกียโซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia)
โบราณสถานลึกลับ ของประเทศอังกฤษ ที่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่รู้ว่าสร้างมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเป็นผู้สร้าง ตั้งอยู่กลางทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี (Salisbury Plain) ซึ่งอยู่ห่างจาก กรุงลอนดอน ไปเพียง 10ไมล์เท่านั้น กองหินสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นก้อนหินทรงสูง ที่มีอยู่มากกว่า 112 ก้อน วางเรียงเป็นวงกลมซ้อนกันสามวง โดยก้อนหินเหล่านี้ ถูกตั้งวางทิ้งไว้ ในทุ่งกว้าง และไม่มีร่องรอย ของการขนก้อนหิน ลักษณะ โดด เด่น สมัยกลาง
ที่มีน้ำหนักกว่า 30ตัน มาวางซ้อนกันด้วย สำหรับข้อสันนิษฐานทางเบื้องต้นนั้นคือ ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรม ทางด้านศาสนา หรือเพื่อใช้ดูตำแหน่งดวงดาว ตามฤดูกาลก็อาจจะเป็นไปได้ สำหรับหินที่มีอยู่แต่ละก้อนนั้น มีเรื่องน่าพิศวงนั่นก็คือ อายุของหินที่วางอยุ่นั้น
เป็นหินที่อยู่ต่างยุคกัน และเป้นหินที่เคบอยู่ ในสถานที่แตกต่างกันอีกด้วย หินบางก้อนนั้น มีอายุอยู่ในช่วง ยุคสำริดต้อนต้นเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่หลายคน และผู้คนยังคงสงสัย กันอยู่ถึงปัจจุบันนี้คือ ใช้อะไรย้ายหินที่มีน้ำหนัก มากกว่า 30ตันมาได้ และทำอย่างไรให้หินนั้น ถูกขัดเกลาเป็นเหลี่ยม และตั้งได้อย่างที่เห็นกันอยู่ จนถึงยุคปัจจุบันนี้อีกด้วย งานศิลปะในยุโรปสมัยกลางสะท้อนให้เห็นอะไรมากที่สุด
ฮาเกียโซเฟีย มหาวิหารสถาปัตยกรรม ที่เป็นในรูปแบบไบแซนไทน์ ที่รู้จักกันเมื่อนานมาแล้วว่า คอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี สำหรับฮาเกียโซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ที่มีอยู่มาเกือบพันปีแล้ว ปัจจุบันยังคงได้รับการรักษา และดูแลอย่างดี เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มีผู้คนต่างนิยม เข้ามาท่องเที่ยวเพื่อทัศนะศึกษา และชื่นชมสถาปัตยกรรมแห่งนี้อีกด้วย ฮาเกียโซเฟีย ได้ถูกปรับเปลี่ยนสถานะไปมาก
ซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ตามผู้ปกครองของแต่ละยุคสมัย เช่นเมื่อช่วงปีค.ศ. 532-537 ฮาเกียโซเฟียถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์ ของนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และในช่วงปี ค.ศ. 1453 ฮาเกียโซเฟียถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสุเหร่า และหลังปีค.ศ. 1935 ฮาเกียโซเฟียถูกปรับเปลี่ยน ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ สำหรับวิหารนี้ มีศิลปะวัฒนธรรมการผสมผสาน ระหว่างศิลปะแบบคริสเตียน และอิสลาม จึงทำให้กลายเป็นสถานที่ ที่มีความงดงามแบบที่หาชมได้ยากนั่นเอง